แม่น้ำกกกำลังป่วย เงามืดจากแร่หายากในเมียนมา ปนเปื้อนข้ามพรมแดนสู่ไทย

แม่น้ำกกกำลังป่วย : เงามืดจากแร่หายากในเมียนมา ปนเปื้อนข้ามพรมแดนสู่ไทย
บทสะท้อนของสิ่งแวดล้อมและอธิปไตยลุ่มน้ำที่ถูกลืม แม่น้ำกก ลำน้ำสายสำคัญของภาคเหนือของไทย ซึ่งไหลหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในจังหวัดเชียงรายมาอย่างยาวนาน—กำลังเผชิญวิกฤตที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค จากผลการวิจัยล่าสุดที่เปิดเผยโดยนักวิชาการจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พบว่า แม่น้ำสายนี้มีการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารพิษจำนวนมาก ซึ่งมีต้นตอจากเหมืองแร่หายากในฝั่งเมียนมาปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของ “มลพิษข้ามพรมแดน” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีพรมแดนของรัฐชาติควบคุมอยู่
จากน้ำใสสู่ความขุ่นมัว: สัญญาณเตือนจากชีวิตใต้น้ำ
การศึกษาล่าสุดนำโดย รศ. ดร. ปฐม หงษ์สุวรรณ์ นักวิจัยอาวุโสด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าปลาในแม่น้ำกก เช่น ปลาแค้ ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์พื้นถิ่น เริ่มมีอาการผิดปกติทั้งทางร่างกายและพฤติกรรม ตรวจพบการติดเชื้อโรค พยาธิในเนื้อเยื่อ และภาวะเป็นหมันบางส่วน บ่งชี้ถึงความเสียหายของระบบนิเวศที่เคยอุดมสมบูรณ์น้ำในแม่น้ำกกยังมีค่าออกซิเจนต่ำและพบค่าความเป็นกรด-ด่างที่แปรปรวน ซึ่งอาจมีผลมาจากโลหะหนัก เช่น แลนทาไนด์ (Lanthanides) และแร่ธาตุหายากอื่น ๆ ที่ละลายลงในน้ำจากกระบวนการทำเหมืองในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่พัฒนาอย่างรวดเร็วบริเวณเมืองมองยอง รัฐฉาน ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไม่ถึง 40 กิโลเมตร
แร่หายาก : ขุมทองของเทคโนโลยี หรือ กับดักของชีวิต?
แร่หายาก หรือ Rare Earth Elements (REEs) เป็นทรัพยากรสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงอาวุธไฮเทค แต่เบื้องหลังความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมนี้กลับแฝงไปด้วยราคาที่ธรรมชาติและชุมชนต้องจ่ายอย่างเงียบงัน ในกรณีของเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา บริษัทจีนหลายแห่งได้รับสิทธิ์เข้าทำเหมืองในพื้นที่ที่เคยสงบ ซึ่งกำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ท่ามกลางการขาดแคลนการกำกับดูแลจากภาครัฐของเมียนมา และข้อจำกัดในการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
พรมแดนที่ไร้ขอบเขต: เมื่อการปนเปื้อนไม่หยุดที่เส้นแบ่งแผนที่
นักวิจัยไทยชี้ว่า สารพิษที่หลุดรอดจากเหมืองแร่ไหลเข้าสู่ลำห้วยสาขาของแม่น้ำกกในเมียนมา ก่อนจะเข้าสู่ลำน้ำสายหลักที่ไหลข้ามพรมแดนมายังไทย ผ่านดอยผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แม่น้ำกกจึงไม่ใช่แค่ลำน้ำของประเทศไทยอีกต่อไป แต่เป็น “แม่น้ำสากล” ที่สะท้อนชะตากรรมร่วมของประชาชนสองฝั่งแดน ปัญหาการปนเปื้อนนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยรัฐชาติเดียว หากแต่ต้องอาศัยกลไกความร่วมมือพหุภาคี ทั้งระดับภูมิภาคและประชาสังคม
เสียงจากชุมชน: ปลาเริ่มหาย คนเริ่มห่วง
ชาวบ้านหลายคนที่อาศัยริมแม่น้ำกกเล่าว่า ปลาน้ำจืดหลายชนิดที่เคยมีอยู่ชุกชุมกลับหายไปอย่างรวดเร็ว ขนาดของปลาที่จับได้ก็เล็กลงอย่างผิดสังเกต หลายครอบครัวต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับปลาและลดการใช้น้ำจากลำน้ำโดยตรงแม้ยังไม่มีการประกาศ “เขตภัยพิบัติ” อย่างเป็นทางการ แต่การสูญเสียทรัพยากรพื้นฐานเช่นปลาและน้ำสะอาด คือการคุกคามวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริง นี่คือ “ภัยเงียบ” ที่กำลังบั่นทอนชีวิตผู้คนทีละน้อย โดยแทบไม่มีใครออกมารับผิดชอบ
ถึงเวลาทบทวน: ไทยจะทำอะไรได้บ้าง?
ในทางยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม รัฐไทยควรเร่งดำเนินการหลายด้าน ได้แก่
เจรจาข้ามพรมแดน กับเมียนมาและจีนในประเด็นการจัดการน้ำและมลพิษ

เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเก็บตัวอย่างน้ำและสัตว์น้ำเป็นระยะ

เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ อย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเตรียมตัว

ส่งเสริมการศึกษาและการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านมีอำนาจในการกำหนดชะตาของแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงพวกเขามานาน
บทสรุป : แม่น้ำที่ไหลข้ามพรมแดน คำถามที่ไหลย้อนกลับมาหาเรา
วิกฤตแม่น้ำกกในวันนี้ไม่ใช่เพียงเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” แต่เป็นเครื่องสะท้อนความล้มเหลวของระบบการจัดการทรัพยากรในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน แม่น้ำไม่มีพรมแดน แต่มนุษย์กลับสร้างกำแพงแห่งผลประโยชน์ที่ขวางกั้นการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงบางทีคำถามที่เราควรถามไม่ใช่เพียงว่า “จะหยุดสารพิษได้อย่างไร” แต่ควรเริ่มจากว่า “เรายังมองแม่น้ำเป็นสิ่งมีชีวิตที่เราต้องเคารพอยู่หรือไม่?”

credit : https://www.bbc.com/thai/articles/c39z41j77rdo

Read Previous

นักปั่นชาวอังกฤษได้ใบหน้าใหม่กลับมา ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

Read Next

เว็บสล็อต การลงทุนที่คุ้มค่า พร้อมเกมเดิมพันหลากหลาย

Most Popular